เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ เม.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในสังคมน่ะ ในสังคมมีทั้งคนดีและคนชั่ว ในสังคมนะ แล้วเราเกิดมาในสังคมนั้น ดูสิ เวลาปลามันเกิดมาในน้ำน่ะ ถ้าน้ำเสีย ปลามันจะดำรงชีวิตในน้ำนั้นไม่ได้ เราเกิดมาในสังคมนั้น เวลาเราย้อนกลับไปดูมงคลชีวิต ๓๘ ประการ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตาณญฺจ เสวนา ไม่คบคนพาลนะ กับเกิดในประเทศอันสมควร แม้แต่เกิดในเมืองไทย เมืองไทยเราเองเป็นเมืองพุทธ คำว่าประเทศอันสมควรนะ คือสังคมร่มเย็นเป็นสุขไง สังคมร่มเย็นเป็นสุขจากภายนอก สังคมร่มเย็นเป็นสุขจากภายใน ภายนอก-ภายในนะ ภายนอกหมายถึงสังคมร่มเย็นเป็นสุข เกิดในประเทศอันสมควร ถ้าเกิดในประเทศอันสมควร พวกเราเกิดในประเทศอันสมควร

ถ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่นะ ได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกนะ จะกลับมาเมืองไทย จะเห็นคุณค่าของประเทศชาติมาก เพราะประเทศชาติน่ะ มันมีทรัพยากรที่เราดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบายเลยล่ะ ทรัพยากรในประเทศเรามันดำรงชีวิตได้สุขสบายนะ

ดูสิ เวลาธุรกิจบริการ คำว่าบริการ คือเขาใช้สอย แต่ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ คือเครื่องดำรงชีวิต ปัจจัย ๔ ของชีวิต แล้วประเทศอันสมควร ประเทศอันสมควรจากภายนอก ประเทศอันสมควรจากภายใน ภายในหมายถึงว่าเกิดมา เกิดในเมืองไทย เกิดในประเทศอันสมควร แต่เราพบพระพุทธศาสนา ลัทธิศาสนาอื่นเราก็เชื่อตามกันไปอย่างนั้นน่ะ มันสมควรกับชีวิตไหม ชีวิตของเรามีคุณค่า มีคุณค่ามากๆ เลย ประเทศอันสมควรนะ เรามีความร่มเย็นเป็นสุขจากภายนอก

เวลาสังคมมีความวิกฤต เขาต้องการคนกล้า คนกล้าหาญนำสังคมนั้นพ้นจากวิกฤตอันนั้นไป ความกล้าหาญ กล้าหาญจากสิ่งกระทบสังคมจากภายนอก ความกล้าหาญจากหัวใจของเรา หัวใจนะ ใครมีอำนาจ ใครเป็นผู้นำนะ ถ้าอำนาจนั้นใช้ในทางที่ผิด นี่อำนาจทำให้ได้ผลประโยชน์ ถ้ามันไม่กล้าหาญทางจริยธรรมไง ถ้ากล้าหาญทางจริยธรรมน่ะ ทำให้ประเทศชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข จะเป็นรัฐบุรุษ จะมีชื่อในประวัติศาสตร์ กษัตริย์ เป็นกษัตริย์ในแว่นแคว้นเฉยๆ ถ้าเป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิมันรวบรวมแว่นแคว้นขึ้นมาให้สมานสามัคคี

การสามัคคี ดูสิ ดูอย่างทางตะวันตกเขาล่าอาณานิคม เขาว่าประเทศป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรมประเพณี แต่เวลาสมัยโบราณ สมัยจีนที่มีเรืองอำนาจ ซำปอกงเขาไปก่อนโคลัมบัสอีกนะ แต่เขาไปแบบพระเจ้าอโศกน่ะ เขาไปแบบทูต ไปแบบสัมพันธไมตรี เขาไม่ได้ไปยึดครอง เขาไม่ยึดครองของเขานะ เพราะใจเขาสูงส่ง แต่เรามองคุณค่ากันไม่ออกไง ถ้าความสูงส่งของหัวใจ กล้าหาญในจริยธรรม เพราะเราเป็นคนที่จะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ แต่เราก็มีความกล้าหาญของเรา เพื่อผลประโยชน์กับสังคม นี่ความกล้าหาญจากภายนอก

เหมือนในปัจจุบันนี้ ถ้าเรามีการพัฒนาๆ เราจะให้อาชีพเขาหรือเราจะให้อาหารเขาล่ะ ดูสิ เราให้ผักหญ้าเขานะ เขากินกันก็หมดไป ถ้าเราสอนให้เขาปลูกผักปลูกหญ้า ทีนี้เขาสอนปลูกผักปลูกหญ้า มันต้องใช้เวลาใช่ไหม มันต้องใช้เวลา ต้องสอนให้เขามีความรู้ เทคโนโลยีคือความรู้ของเขา ความรู้ในการทำมาหากิน ประเทศชาติมันจะมั่นคง ถ้ามั่นคง มันมาได้ช้านะ แต่ถ้าจะเอากันสะดวกสบาย เอาความง่ายดาย เอาเหตุการณ์เฉพาะหน้า เหตุการณ์เฉพาะหน้าเพื่อต้องการชื่อเสียง ลาภ ยศ สักการะ

โมฆบุรุษตายเพราะลาภ เขาสรรเสริญนินทา การสรรเสริญนี่ก็เป็นลาภอันหนึ่ง นี่ต้องการ เราเองเรารู้นะ เด็กมันก็รู้นะ ความดีความชั่วน่ะ สุนัขให้อาหารมันกินมันยังพอใจเลย มันยังรู้จักบุญคุณเลย เราให้อะไรเขา เขารู้ทั้งนั้นน่ะ การเสียสละ รู้ทั้งนั้นน่ะ แต่สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับเขาหรือไม่เป็นประโยชน์กับเขาล่ะ การให้มันเป็นกาลเทศะ กาลเทศะของเด็กเป็นอย่างหนึ่ง กาลเทศะของผู้ใหญ่เป็นอย่างหนึ่ง กาลเทศะ สมควรของเขาไหม ถ้ามันสมควรของเขา

เราเป็นผู้นำของเขา เราสมควรที่จะให้เขาทำอย่างไร เราสมควรที่จะให้เขาไปทางดีขนาดไหน คำว่า ผู้นำ พระพุทธเจ้าบอกนะ คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด ไม่ได้ดีเพราะเป็นเศรษฐี ไม่ได้ดีเพราะมีอำนาจวาสนา ดีเพราะการกระทำ คนเราไม่ได้ดีเพราะการเกิด ดูพราหมณ์สิ เขามีพราหมณ์ มีกษัตริย์ มีแพศย์ มีศูทร แล้วตายตัว แต่ถ้าคนเราเกิดมาในสถานะไหนก็แล้วแต่ แต่มันทำคุณงามความดี มันดีที่การกระทำ คนเรามันจะดีชั่ว มันอยู่ที่การกระทำ นี่การกระทำจากภายนอก

ดูคนขยันหมั่นเพียร คนเรามีหลักการ มีวิริยะอุตสาหะ มันจะขยันหมั่นเพียร มันจะประกอบสัมมาอาชีวะ แล้วมันเป็นเรื่องของกรรม กรรม ถ้าทำแล้วจังหวะโอกาสมันเป็นของเรา มันก็เป็น ถ้าไม่มีจังหวะ ไม่มีโอกาสของเรา เราก็มีความหมั่นเพียรของเรา มันต้องมีความหมั่นเพียรเป็นธรรมดา เพราะหมั่นเพียรนี่คือโอกาสนะ จังหวะและโอกาสของเรา เราต้องทำของเรา ถ้ามีจังหวะโอกาส เราทำของเรา แล้วเราดูสภาวะแวดล้อมว่าจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ นี่วาสนาของคน

ดูสิ ดูลูกเราสิ เกิดมาแต่ละยุคแต่ละกาล คนนี้เกิดมาทรัพยากรมหาศาลเลย คนนี้เกิดมาแล้วมีความขัดแย้งในครอบครัว นี่เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน คนเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน วาสนายังไม่เหมือนกันเลย ถ้าพ่อแม่มีความร่มเย็นเป็นสุข ลูกจะมีความสุขมาก พ่อแม่มีทรัพยากรร่อยหรอไป ลูกเกิดมาไม่เหมือนกันแล้ว พอไม่เหมือนกัน นี่คือวาสนาของเขา แต่ลูกของเรา เราก็รักเหมือนกันน่ะ เป็นวาสนาของเขาแล้วเราก็ต้องพยายามเกื้อกูล เพราะเลือดเนื้อเชื้อไข โซ่ทองคล้องใจ โลกเขาว่ากัน

แต่ในศาสนาว่าการครองเรือนคือการครองระหว่างคู่สามีภรรยา ระหว่างพ่อกับแม่ เวลาครองเรือนขึ้นมา ลูกคนหนึ่งก็อีกเรือนหนึ่งแล้ว เรือนหนึ่งคือหัวใจไง การครองเรือนคือการชักจูงใจ การชักจูงใจให้คนของเราในทางที่ดี แล้วเราจะชักจูงใจเขา เรามีอะไรชักจูงเขา นี่มืดบอด

ศาสนาคืออะไร ศาสนาก็คือพระนั่นไง พระเป็นตัวศาสนา นี่ศาสนบุคคลนะ ศาสนาคือความสุขความทุกข์ในใจของเรา ศาสนาคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ทุกข์มันเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริงจากภายนอก ดูสิ เวลาขาดแคลนทรัพยากรมันก็มีความทุกข์อันหนึ่ง เวลาทรัพยากรล้นฟ้าเลย เป็นทุกข์เป็นร้อนกับมันนะ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องเก็บรักษา เป็นความทุกข์อีกแล้ว นี่ว่ามีทรัพย์สินเงินทองแล้วจะมีความสุข มันก็ไม่เห็นสุขสักที เวลามันจะมีความสุข มันมีความสุขมาจากไหน ความสุขมันเข้าไปถึงใจเราด้วยคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ถ้าใครกล้าหาญ กล้าหาญทางศีลธรรม จริยธรรม โลกเขาจะติเตียนขนาดไหน โลกติเตียนนะ

ดูสิ เวลาคนออกบวช.. โอ๋ย.. ไม่สู้สังคม คนนี้ไม่เข้มแข็ง คนนี้หลบหลีก ไม่เป็นคนจริง คนจริงอย่างนั้นมันจริงเพื่ออาบเหงื่อต่างน้ำไง แต่เวลาจริงในการออกบวช ในการเห็นภัยในวัฏสงสารนะ ความจริงของเรา นั่งสมาธิภาวนาเพราะเอาชนะใจของเราไง เราแพ้นะ ดูสิ การแพ้ การชนะกันน่ะ ชนะสงครามคูณด้วยล้านสร้างเวรสร้างกรรม คนที่แพ้นะต้องมีการเจ็บปวด มีการขัดข้องใจเป็นธรรมดา การชนะคะคานจากข้างนอกมีเวรมีกรรมตลอดเลย แต่การชนะกิเลสเป็นบุญล้วนๆ เลย

เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นความไม่จริง เพราะมันยุแหย่ ยุแหย่ให้เราทำ เราต้องการ เราปรารถนาสิ่งใด มันยุแหย่ให้เราแสวงหา พอแสวงหาด้วยความดี ถ้าทำดี ความอยากที่เป็นดีมันเป็นมรรค คือเราทำแต่สิ่งที่ดี ถ้ามันยุแหย่ไปในทางที่ไม่ดี เราได้มาแล้ว สิ่งที่ได้มาทั้งดีและไม่ดี แล้วเราทำขึ้นมาแล้ว ผลใครเป็นคนรับ กิเลสน่ะ ตัณหาความทะยานอยากใครเป็นคนรับ ก็หัวใจเป็นคนรับไง เพราะความคิด เจตนามันมาจากใจ เวลาทำผลตอบสนอง สิ้นสุดกระบวนการแล้ว ใจก็เป็นผู้รับ ดีและชั่ว ถ้ากิเลสมันยุแหย่ให้เราแสวงหามา แล้วผลใครรับล่ะ ผลก็ใจรับ แต่ว่าเรามีสติสัมปชัญญะของเรา เรายับยั้งมัน สิ่งที่ดี สิ่งที่คิดดี เรามาแสวงหาสิ่งที่ดี เราต้องเหยียบคันเร่งนะ แต่เหยียบไม่ออก เหยียบคันเร่งไปไม่ได้

เราจินตนาการอริยภูมิไม่ได้ เราจินตนาการไม่ออกนะ นิพพานเป็นความว่าง สิ่งใดๆ เป็นความว่างก็ว่าง อากาศก็ว่าง ในตุ่มในไหก็ว่าง ว่างแบบนี้ว่างแบบจินตนาการ แบบเราคาดหมายได้ ผู้ใดด้นเดาธรรมจะได้ธรรมะด้นเดา.. ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันเป็นสัจจะความจริงของมัน มันสิ้นสุดกระบวนการของมันอย่างไร มันปล่อยวางอย่างไร จิตมันปล่อยวางอย่างไร ปล่อยวางสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันขับไส เวลามันขาดออกไป พอมันปล่อยวางไป สิ่งที่มันขัดแย้งอยู่ในหัวใจมันไม่มี มันโล่งโถงอย่างไร ความโล่งโถงของมันต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปสิ ถ้าไม่มีที่มาที่ไป อริยสัจมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สัจธรรม อริยสัจธรรม มันจะเป็นจริงมันต้องเป็นจริงจากการกระทำของเรา มันต้องรู้เห็น ต้องจริง นี่ศาสนาสอนสอนอย่างนี้

ไม่ใช่ศาสนาเป็นจินตนาการว่างๆ ว่างๆ เราจินตนาการอริยภูมิไม่ได้ แต่เราจินตนาการสิ่งที่เราเคยเกิดเคยตายมาได้ เรามีข้อมูลในหัวใจ เพราะจิตทุกดวงเคยเกิดเคยตายในนรก สวรรค์ ในอเวจี ในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตทุกดวงเคยผ่านมา เพราะจิตทุกดวง.. จุดเริ่มต้นมาจากไหน จุดจบกระบวนการของจิตมันไปจบที่ไหน แล้วกระบวนการของจิตมันหมุนมาตลอด สิ่งที่หมุนมามันมีข้อมูลของมัน เพราะมันเคยไปตกสถานะนั้น เราไปเคยยืนสถานะนั้นมันก็มีข้อมูลในใจนั้นมา จินตนาการทั้งหมดน่ะ สวรรค์เป็นอย่างนั้น นรกเป็นอย่างนั้น ผีเป็นอย่างนั้น จินตนาการไปแล้วก็กลัวนะ เขียนเสือแล้วก็กลัว กลัวมาก ขนลุกขนพอง นี่หลอกตัวเองน่ะ ดูกิเลสมันหลอกตัวเองสิ

แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราคาดหมายอะไรไม่ได้เลย คาดหมายสิ่งใดไม่ได้เลย แต่พอจินตนาการ ฟังธรรมขึ้นมา จินตนาการมันก็เป็นธรรมะด้นเดา แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราตามความเป็นจริง นี่เข้มแข็งทางจริยธรรมจากภายใน คือไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อสิ่งใดๆ ไม่เชื่อความยุแหย่ของกิเลส ไม่เชื่อความเห็น ปัญญาที่เกิดขึ้น ไม่เชื่อทั้งนั้น.. พระพุทธเจ้า กาลามสูตร กาลามสูตรมันอยู่ตรงนี้ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าพูด ไม่ให้เชื่อๆ เพราะความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ให้เกิดความจริง ความจริงคือจิตสงบ ให้มันสงบขึ้นมาคือความจริง

สงบเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ.. ว่างๆ มันเป็นคำพูดน่ะ นี่มันว่างทั้งนั้นน่ะ ว่างแล้วได้อะไรขึ้นมา นึกสิ จินตนาการว่าคนมีเงินเต็มกระเป๋าเลย แล้วมีเงินจริงไหม นี่ฉันมีเงิน ฉันเป็นเศรษฐี ฉันจะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ แต่ไม่ได้เลย เพราะเงินไม่ใช่ของเรา แต่ถ้ามันมีจริงขึ้นมานะ เพราะเราหาอยู่หากินหรือเราได้มรดกตกทอด ได้สิ่งใดมาก็แล้วแต่ เป็นทรัพยากรของเรา เป็นเงินของเรา เงินในกระเป๋าเรามีเต็มๆ มันอุ่นใจ แล้วจะเดินไปที่ไหน จะใช้จ่ายอย่างไรมันพร้อมที่จะใช้จ่าย.. จิต ถ้าเป็นสมาธิ ว่างๆ ว่างๆ มันต้องมีคุณภาพอย่างนี้ มันมีคุณภาพเพราะจิตที่มันมีกำลังของมัน มันรับรู้สึกของมัน มันรู้ คนรู้ตัวเองนะ คนกินอิ่มหนำสำราญจะไปที่ไหนมันจะทุกข์ร้อนอะไรไหม คนหิวกระหายน่ะ ว่างๆ แต่งงนะ งงมาก มีความวิตกกังวลในใจ ว่าง...แต่ไม่รู้อะไรเลย นี่จินตนาการว่าเงินของเรา

แต่ถ้าเป็นสมาธิจริงๆ นะ มันมีความสุขของมัน ถ้าไม่มีความสุขของมัน ทำไมคนติดสมาธิ คิดว่าสมาธิเป็นนิพพานได้ล่ะ ทีนี้สมาธิ คนติดแล้วถึงเป็นนิพพานได้เลย แล้วถ้าเราไม่ติดมัน เพราะเรามีสติสัมปชัญญะ เราใคร่ครวญของเรา ย้อนกลับมาได้ เพราะผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นสมาธิก็ได้ เป็นวิปัสสนาก็ได้ ถ้าเป็นสมถะน่ะ คำพูดมันบอก คำถามน่ะ เวลาถามพระน่ะ ฟังน่ะ ฟังออก มันเป็นสมถะเพราะอะไร เพราะมันปล่อยวางเข้ามาๆๆ มันไม่มีการกระทำ สอนให้เขาปลูกผักปลูกหญ้า สอนให้จิตนี้มีการกระทำวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่เอาอาหารไปแจกเขา

นี่แจกเขา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เป็นสาธารณะใช่ไหม เราศึกษากันมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดน่ะ ของเขาให้ ของให้ ของยืม แล้วเขาให้มายืมมา กินเข้าไปก็หมด เขาให้มา ให้ความชุ่มชื่นมา เพราะเราเกิดในพระพุทธศาสนา ให้นี่เราศึกษามา รู้จักธรรมมา เข้าใจมา รู้จักมา นี่ให้มา แต่ทำไม่เป็น ปลูกผักปลูกหญ้าไม่เป็น ถ้าปลูกผักปลูกหญ้าเป็น มันจะมีผักมีหญ้ากินตลอดชีวิต มีกินตลอดไป เพราะเรามีผักมีหญ้า เรามีเมล็ดพันธุ์พืช เรามีดิน เรามีน้ำ เราทำได้ตลอดไป แต่ของเขาได้มา มันได้ผักได้หญ้ามา แล้วปลูกที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะยื่นมาจากตำรับตำรา

สิ่งที่มีการกระทำ กล้าหาญนะ กล้าหาญจากข้างนอก เรามีจุดยืนของเรา ใครจะมาชักนำเราไปในทางที่ผิดไม่ได้ เราจะต้องเข้ากับความถูกต้อง ต้องมีหลักยึด กล้าหาญในจริยธรรมจากภายใน ผิดไม่เอา ถ้าผิดเราเอานะ เวลาเราร่วมมือไปกับเขานะ ไปกับความผิดนะ เวลาเกิดก็เกิดเป็นสายบุญสายกรรมกันไป ถ้าเราร่วมมือกันทางที่ถูก เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดออกมา ดูสิ เชื่อพระเชื่อเจ้ามีแต่ขาดทุน ขาดตกบกพร่อง ต้องเสียสละตลอดเวลาเลย ถ้าเชื่อไปทางนู้นเราได้ทรัพยากร เขาจะแจก เขาจะให้.. ของหยาบๆ นี่เราไปรับมา แต่มันให้ผลเยอะนะ เวลาโยมทำบุญโยมใส่บาตรมา สิ่งนี้มันเป็นวัตถุนะ แต่คุณค่าของใจที่เสียสละออกไป แล้วถ้าเรามีจุดยืนของเรา เรามีความชุ่มชื่นของเรา นี่บุญ

เวลาทำบุญกุศลมันอยู่ที่ปฏิคาหก ผู้ให้ ดูสิ เวลาเราเคารพนบนอบ เรายกสิ่งนั้นจรดขึ้นบนศีรษะของเรานะ เราอธิษฐานของเรา แล้วเราใส่บาตรไป พระภาวนาไม่เป็นก็บอกว่าค้ากำไรเกินควร...ไม่! ไม่ใช่ค้ากำไรเกินควร นี้เป็นข้อเท็จจริงในเรื่องของจิตวิญญาณ ในเรื่องของอริยสัจ ในเรื่องของความจริง เราปรารถนาได้ ตั้งเป้าได้ เรายกสิ่งวัตถุที่เราแสวงหามาด้วยน้ำเหงื่อขึ้นบนศีรษะแล้วอธิษฐานเอานิพพานเลย! ไม่ค้ากำไรเกินควร เพราะเรื่องของจิต ดูจินตนาการมันได้ครอบโลกธาตุ จิตที่มันตั้งเป้าหมายไว้สูงส่งขนาดไหน มันจะเข้าถึงเป้าหมายนั้น เวลาเราตั้งเป้าหมาย เราก็ไม่กล้าตั้งเป้าหมายเลย นี่เวลาตั้งเป้าหมาย อยากเป็นเศรษฐี อยากเป็นคนมีตังค์ แต่ไม่กล้าตั้งเป้าหมาย ไม่กล้ากระทำ แล้วจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร มันไปถึงจุดนั้นไม่ได้ แล้วศาสนาตั้งเป้าไว้ถึงที่นั่น แล้วเราไม่ตั้งเป้า.. ค้ากำไรเกินควร นี่กิเลสมันตัดแข้งตัดขา

แล้วพระก็บอก ผู้ที่ทำบุญแล้วอธิษฐานอยากได้ ค้ากำไรเกินควร ค้ากำไรเกินควรนั่นมันเป็นเรื่องธุรกิจ ไอ้นี่มันเรื่องศีลธรรม จริยธรรม มันจะเอาอะไรมาค้ากำไรเกินควร มันเป็นเรื่องอำนาจวาสนาของใจที่ใจมันสามารถสัมผัสได้ทั้งนั้นน่ะ ไม่มีอะไรเกินควรหรอก ตั้งเป้าถึงที่สุดเลย แล้วเราทำถึงเป้าไม่ถึงเป้านี่อีกเรื่องหนึ่ง ไอ้ค้ากำไรเกินควรน่ะ มันเรื่องของกิเลสน่ะ ทำบุญก็ไม่กล้าทำ พอทำบุญขึ้นมาก็เราเสียสละ เราเป็นผู้ที่เสียออกไปแล้วไม่ได้อะไรมา วัตถุสิ่งของน่ะ ทิ้งไว้มันก็เสียหายทั้งนั้นน่ะ แต่น้ำใจของคนน่ะ ความสัมผัสของสิ่งที่เป็นบุญกุศลซึ่งเป็นอำนาจวาสนาบารมี มันจะติดตัวนี้ไป เกิดดีในสิ่งที่ดีจะเป็นประโยชน์กับเรานะ

ถ้าเรามีจุดยืนของเรา ในพุทธศาสนาอย่าเชื่อสิ่งใดโดยมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อสิ่งใด พระโสดาบันจะไม่เชื่อลัทธิอื่นเลย จะมีความเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. พระธรรมคือสัจธรรม วิทยาศาสตร์ก็บอก ธรรมะเป็นธรรมชาติ...ไม่ใช่!

ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือการเวียนตายเวียนเกิด.. นี้เป็นธรรมชาติ

สัจธรรมนี้ทำให้จิตนี้พ้นจากการเกิดและการตาย จิตนี้จะไม่เกิดอีก มันจะเป็นธรรมชาติได้อย่างไร จิตนี้อยู่นอกโพ้นจากธรรมชาติ.. เหนือธรรมชาติ! แต่เพราะความโง่ของคนสอนว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเลยไม่ต้องทำอะไร ก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้วไง

ธรรมะเหนือธรรมชาติ สัจธรรมทำลายกิเลสหมดแล้ว พ้นจากกิเลสไปได้ นั้นเป็นสัจจะความจริงที่ทำได้ นี่คนโง่สอน คนหลับตาสอน คนตาบอดสอน มันว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นสัจธรรมที่เหนือธรรมชาติ เหนืออริยสัจ เหนือทุกอย่าง พ้น.. ให้เราสร้างได้ นี่มันถึงเป็นความจริงในหัวใจ ที่เป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ไง ที่ในพุทธศาสนามีอยู่

เรามีของดี แต่เราเข้ากันไม่ถึงไง เราเข้ากันไม่ถึง เราก็บอกว่าธรรมะเป็นอย่างนั้นๆ มันก็เลยบอกว่าศาสนสัมพันธ์ ลัทธิไหนก็สอนเหมือนกัน สอนให้คนทำดีเหมือนกัน ดีของโจรมันชวนกันปล้นนะ ดีของนักปราชญ์เขาชวนกันทำมาหากิน ชวนกันทำสิ่งที่ดี ดีของใคร ดีเหมือนกัน คำว่าดี ดีของใคร ศาสนสัมพันธ์

ศาสนาเราสูงส่งมาก พระพุทธศาสนามีองค์เดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ลัทธิศาสนาอื่นไม่มีใครกล้าปฏิญาณตน ถ้าปฏิญาณตนจะมีการทดสอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนเลยว่า “เราเป็นพระอรหันต์ สิ้นจากกิเลส” มีศาสนาเดียว

แต่พวกเราเจ้าของศาสนา แล้วให้คนเขาลบหลู่ดูหมิ่นโดยที่เราไม่สามารถแก้ต่างได้ แล้วเราก็น้อยเนื้อต่ำใจ พระพุทธศาสนาทำไมไม่เห็นเจริญรุ่งเรืองแบบศาสนาอื่นเขาเลย เขามีข้าวของเงินทอง แต่เขาสุขเขาทุกข์ไหม เราสุขทุกข์ นี่เรื่องศาสนาสอนที่นี่ มันจะเป็นประโยชน์กับที่นี่ เราตั้งสติของเรา แล้วเข้มแข็งในหัวใจของเรา แล้วอยู่กับสังคมด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เอวัง